Thursday, September 28, 2006

To those governments taking the Tyrant's side

Let me warn the governments that are taking Thaksin Shinawatra's side, whether by condemning the September 19 military action; providing shelters for the Tyrant, his family members and cronies; helping to conceal or transport illegally acquired assets; or supporting the Tyrant's political movements in any way.

You are now co-conspirators in a plot of treason to harm Thailand's political, social, and economic stabilities; to destroy the monarchy; and to undermine our sovereignty.

You are siding with the most corrupt political figure and the biggest thieves in the history of the world.

You are enemies of democracy and freedom.

You are enemies of the anti-Thaksin people of Thailand.

Should you continue to support Thaksin, may my curses here come true:

1. May your countries encounter the same problems;
2. May the leaders who have business dealings or political agendas with Thaksin suffer the same fate that the Tyrant is now experiencing;
3. May the truth comes out and your evil deeds be recorded for all eternity;
4. May the evil co-conspirators die an awful death for the crimes on which they lend their hands against the peace-loving and loving people of Thailand;
5. May these sins against humanity be punished in the foreseeable future.

Sunday, July 30, 2006

From Soldiers of His Majesty's

ท็อปบู๊ต-รุ่น'เดอะป๋า'ปลุกกระแสพลังเงียบ ปลุกจิตสำนึกกองทัพ สกัดแผนล้มสถาบัน!
30 July 2006

คอลัมน์...เอกยุทธอินไซเดอร์
โดย...เอกยุทธ อัญชันบุตร
………………………………..
หากใครจับสังเกตให้ดีจะพบว่า การออกมาปลุกจิตสำนึกของทหาร อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” เป็นอันมาก
เพราะไม่บ่อยครั้งที่คนอย่าง “พล.อ.เปรม” ที่เคยได้ฉายาว่า “เตมีย์ใบ้” พูดน้อย-ต่อยหนัก...จะออกมาพูดให้สังคมได้ตระหนักถึง “คุณธรรม-จริยธรรม” ของคนที่เป็น “ผู้นำ” ตามด้วยการกระตุ้น “ทหาร” ให้รู้จักหน้าที่ของตัวเองว่า เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่ใช่ทหารของใครคนใดคนหนึ่ง
โดยเฉพาะกับประโยคเด็ดล่าสุดที่พล.อ.เปรมไปพูดบรรยายให้กับ นักเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า “เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทหารของชาติ ด้วยจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของเรา เราต้องทำทุกอย่างเพื่อพิทักษ์ชาติ และพิทักษ์ราชบัลลังก์ไว้ให้ได
หรือแม้แต่ประโยคที่ว่า “เรื่องของคุณธรรม จริยธรรม มันมีเรื่องที่น่าคิดว่า วัฒนธรรมไทยของเราเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่มากๆ แต่บางอย่างทำให้เกิดความไม่ถูกต้อง โดยมากใครมีสตางค์ เราก็มักจะยกย่องนับถือ ที่จริงการนับถือคนที่มีสตางค์นี่ ถ้าเขามีสตางค์มาโดยชอบธรรม ก็โอเค แต่เขามีสตางค์โดยการโกง การฉ้อฉล เราไม่ควรจะไปยกมือไหว้เขา เพราะว่าถ้าเราเคารพนับถือคนมีสตางค์ โดยไม่คิดว่าเขามีสตางค์มาอย่างไร เขาเป็นคนที่ไม่สมควรได้รับการยกย่อง ตรงกันข้ามกับคนยากจนแต่ว่าเขาเป็นคนดี มีคุณธรรม เขาเป็นคนถีบสามล้อ เป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่ก็เป็นคนดี มีคุณธรรม อย่างนั้นน่ายกย่องมากกว่า
และเมื่อมาวิเคราะห์ถึงคำพูดของพล.ท.สพรั่ง หนึ่งในลูกป๋า...ที่แฝงด้วยคำคมและคำเตือนไปยัง “คนกลุ่มหนึ่ง” ที่คิดไม่ดีต่อบ้านต่อเมือง โดยเฉพาะกับราชบัลลังก์ นั่นคือ “มีกลุ่มคนชั่วต้องการล้มล้างระบบพระมหากษัตริย์...... สถาบันกษัตริย์ถูกสั่นคลอน.... มีคนเลวที่คอยคิดแต่จะทำลายสถาบัน จาบจ้วงพระมหากษัตริย์.... ใครที่บังอาจกัดเซาะพระองค์ท่านทุกวันนี้ ผมท้าเลยว่า ข้ามศพผมไปก่อน ประกาศให้รู้เลยว่าศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือผม และผมจะโหดเหี้ยมกับศัตรูที่ทำร้ายชาติ กับ พระมหากษัตริย์ ทุกคนด้วย
ซึ่งคำพูดที่น่าสนใจและน่าติดตามมากอีกประโยค ก็คือ “กองทัพภาคที่ 3 ทราบดีอยู่แล้วว่า ใครที่คิดทำร้ายบ้านเมือง โดยเฉพาะคนที่ล้มล้างระบบกษัตริย์ ถ้าใครคิดทำร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน เลือดต้องนองแผ่นดินอย่างแน่นอน”
นับเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง “คนกลุ่มหนึ่ง” ที่หากใครติดตามการเมืองไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็จะรู้ดีว่า “คนกลุ่มหนึ่ง” นี้...หมายถึงใคร???
เพราะคนแวดล้อมใกล้ตัว “พ.ต.ท.ทักษิณ” เวลานี้และยังมีอำนาจรัฐในมือ...มีหลายคนที่เคยอยู่ในขบวนการ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” มาแล้ว
1 ในนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีชื่อของ “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุรีย์เดช” เจ้าของตำแหน่ง “เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ที่รับรู้กันดีว่า เป็นผู้หนึ่งที่เคยอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ด้วยรหัสลับจัดตั้งว่า “สหายจรัส” นั่งบัญชาการอยู่ทั้งหน้าฉากและหลังฉาก...ในเวลานี้
อย่าลืมว่า “คอมมิวนิสต์” ต้องล่มสลายลง ก็เพราะนโยบาย 66/2523 อันลือลั่นในยุคสมัยที่ “ป๋าเปรม” เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ และทำให้ “กำแพง” ที่เข้มแข็งของพคท.ในช่วงเวลานั้น ต้อง “ล่มสลาย” ลงทันที
ความเจ็บแค้น-ความมีความคิดเดิมๆ ในการที่จะ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” นั้น...มีการ “รอคอย” เพื่อ “รอวันเวลา” ที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าประสงค์ที่วางกันไว้ ซึ่ง “ทุนนิยม” ที่ให้การสนับสนุนด้านปัจจัยต่างๆ ก็จะได้รับอานิสสงฆ์ดังกล่าวด้วย เพราะถ้าทำสำเร็จ...อย่างน้อย “ระบบศักดินาเก่า” ก็จะมลายหายไป และ “คนกลุ่มนี้” ก็จะกุมอำนาจไว้ได้ทั้งหมด
เวลานี้การต่อสู้นั้น พัฒนาไปหลายขั้น...สมัยก่อน ผู้คนที่ฝักใฝ่ในพคท.นั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว “เงินทอง” ก็ไม่ได้มีมากมาย แต่เดี๋ยวนี้หากไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินจะพบว่า... “สหาย” แต่ละคนมีกันเป็นร้อยล้าน-พันล้าน...บาท
ถามว่า... “สหาย” เหล่านี้...สรรหามาจากไหน...ก็ล้วนแต่ “ระบอบทักษิณ” เกื้อหนุนให้ร่ำรวยกันได้...นั่นเอง
ดังนั้น...การทุ่มเทเพื่อว่าจ้าง-หว่านล้อม-เลี้ยงดูปูเสื่อ “มวลชนจัดตั้ง”...จึงกระทำกันได้ง่ายและมีมาตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่รัฐบาลทักษิณเรืองอำนาจพอดิบพอดี
การวางเครือข่ายในภาคอีสานตอนบน-อีสานตอนล่าง...อย่างเป็นระบบ ด้วยการปูทางเรื่อง “ประชานิยม” ในโครงการต่างๆ ลงไป ทำให้เห็นได้ชัดว่า...คนกลุ่มนี้ “วางแผน” กันมาล่วงหน้าแล้ว
“ชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ที่ก่อตั้งขึ้น ภายใต้การนำของ “ชูชีพ ชีวะสุทธิ์” นั้น หากคนเฝ้าติดตามการเมืองไทยมานาน ก็จะทราบดีว่า “เขา” คนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังบุรีรัมย์...ภายใต้การนำของ “หมอผีเขมรที่มีปากห้อย” ผู้จงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ
บวกกับเครือข่ายที่แวดล้อมและให้การอุ้มชูสนับสนุนกันนั้น ซึ่งประกอบด้วย “ชินวัฒน์ หาบุญพาด” นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่, “ชูพงศ์ ถี่ถ้วน” เลขาธิการศูนย์กลางประชาชนแห่งประเทศไทย, “ประยูร ครองยศ” ประธานชมรมคนรักชาติ และ “คำตา แคนบุญจันทร์” เลขาธิการคาราวานคนจน...ยิ่งทำให้เห็น แผนชั่วร้ายนี้...ไม่ธรรมดาจริงๆ
สัมพันธภาพระหว่าง “ชูชีพ” กับ “พรหมินทร์” นั้น มีกันมายาวนาน...เพราะ “ชูชีพ” ถือเป็นรุ่นพี่ของ “หมอมิ้ง” ที่มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเข้าเรียนที่ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ในปี 2515 ขณะที่ “หมอมิ้ง” เข้าเรียนในปี 2516 ที่คณะเดียวกัน
ทั้งสองคนนี้ถือกันว่า เป็นนักจัดตั้งมวลชน “ชั้นเซียน” โดย “หมอมิ้ง” ไปรวมกลุ่มกับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ “สหายอ้วน” แกนนำจากพรรคจุฬาประชาชน ส่วน “ชูชีพ” ช่วงหนึ่งไปร่วมรณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นร่วมกับ “ธีรยุทธ บุญมี” เลขาธิการศูนย์นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ในเวลานั้น
แต่เมื่อเกิดเหตุนองเลือด...แพแตก 2 สหายผู้ฝักใฝ่ “พคท.” ขึ้นสมองนั้น...ต่างก็เข้าป่า-จับปืน ทำงานในเขตอีสานใต้ แถบรอยต่อ...โคราช-บุรีรัมย์-ปราจีนบุรี-สระแก้ว โดย “ชูชีพ” มีรหัสลับว่า “สหายสมชาย”
มีผู้ยืนยันว่า ทั้ง 2 สหายนี้ได้เข้าไปร่ำเรียนในโรงเรียนการเมือง-การทหาร บริเวณชายแดนที่ลึกเข้าไปในกัมพูชา มี “พลพต” เป็นผู้เอื้อเฟื้อดูแลทั้งสถานที่และปัจจัยต่างๆ ให้
หลังจากออกจากป่า...เพราะ “ป๋าเปรม” เมตตาแล้ว...เส้นทางการเดินของ 2 สหายนี้ก็แยกย้ายกันไป โดย “หมอมิ้ง” นั้นไปร่วมหัวจมท้าย รับใช้พ.ต.ท.ทักษิณ ในการทำงานที่ “ชินวัตร” ขณะที่ “ชูชีพ” ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีภรรยาไปเปิดร้านขายกิฟท์ช็อปแถวท่าพระจันทร์
แต่เมื่อรัฐบาลทักษิณ...ก้าวมาบริหารประเทศ ก็พบว่า “ชูชีพ” ไปเปิดกิจการนำเข้า-ส่งออก และเจริญรุดหน้า...กลายเป็น “เสี่ย” ของเพื่อนฝูงได้อีกคน
การออกมาขับเคลื่อนต่อต้าน “คนที่ออกมาต่อต้านทักษิณ” ก็ล้วนมาจากเครือข่ายที่ “ชูชีพ” และ “หมอมิ้ง” ได้วางเอาไว้ โดยมี “หมอผีเขมร” เป็นผู้บัญชาการอีกชั้นหนึ่ง
ดังจะเห็นได้จาก เว็บไซต์ชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญของ “ชูชีพ” เคยเหิมเกริมหนักออกมาต่อว่า “ป๋าม.8” คือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” จนลือลั่นมาแล้ว
แถมตัว “ชูชีพ” เองก็หาญกล้า...เป็น “คอมเม้นท์เตเตอร์ทางบ้าน” ที่มักจะต่อสายเข้าไปตอบโต้ทางหน้าปัดวิทยุต่างๆ ที่มีการต่อว่าต่อขาน... “ทักษิณ”
แต่ที่กล้าแบบสุดๆ คือ การเดินหน้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. เพื่อให้ดำเนินคดีกับ 8 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันเนื่องมาจากการที่ศาลชี้ว่า เลือกตั้ง 2 เม.ย.ที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เท่ากับว่า เป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมที่ถือกันว่า เป็น “อำนาจ” เดียวใน 3 อำนาจของประเทศที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้อาณัติของ “ระบอบทักษิณ” และเป็นอำนาจเดียวที่ทำงานภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสมือนหนึ่งเป็น “ตัวแทน” ที่ต้องผดุงความยุติธรรมให้สังคมไทย
นอกจากนี้ “บทบาท” ของเครือข่ายที่แวดล้อมและให้การอุ้มชูสนับสนุน อย่างสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ ภายใต้การนำของ “ชินวัฒน์ หาบุญพาด” ก็สอดรับกันดีกับการทำงานของ “ชูชีพ”
เพราะ “ชินวัฒน์” เองก็ตกเป็น 1 ใน 16 คนที่ถูกตำรวจสน.พหลโยธิน จ้องออกหมายเรียก ฐานกระทำการหมิ่นศาล ในวันที่มีคำตัดสินให้เชือด “3 หนา-กกต.” ถึงขั้นมีการกระโดดถีบทำร้ายร่างกาย - ด่าทอคำตัดสินของศาลในเขตพื้นที่ของศาลอาญาด้วย
หากจำกันได้ “ชินวัฒน์” นี้ก็เป็นหนึ่งในหัวหอกที่นำคนบุกเข้าไปรื้อเต้นท์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปักหลักชุมนุมต่อต้าน “3 หนา-กกต.” ที่หน้าอาคารศรีจุลละทรัพย์ เมื่อหลายเดือนก่อน พร้อมกับการมีเรื่องมีราวกับช่างภาพสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งด้วย
นี่ยังไม่นับขบวนการเหิมเกริมแบบบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปของ “ขบวนการบุรีรัมย์” ที่ไปปิดล้อมหน้าตึกเนชั่นทาวเวอร์ ภายใต้การบัญชาการของ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ-หมอผีเขมร” คนดังนั่นเอง
ซึ่งจนถึงขณะนี้...หากดูถึงเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่ขบวนการบุรีรัมย์นี้ได้ “กระทำ” ขึ้นแบบท้าทายกฎหมายเป็นอันมาก แต่ “ตำรวจ” ภายใต้ “รัฐตำรวจ” ก็ไม่สามารถดำเนินการจัดการให้สังคมได้รับความยุติธรรมได้
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย...ที่ระดับแม่ทัพภาคที่ 3 ต้องออกมาเปิดศึกกับกลุ่มคนที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง และต้องการล้มล้างราชบัลลังก์
และก็คงไม่ต้องแปลกใจอีกเช่นกันว่า...ทำไม “ป๋าเปรม” ถึงต้องออกโรงมา “สะกิด” ให้คนที่มี “หน้าที่” ได้รับรู้ว่า...ต้องทำอย่างไรกันบ้าง????
เนื่องจากเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ได้วางรากฐานทั้ง “คน-กำลัง-เงิน” เอาไว้อยู่ทั่วทุกวงการทั้งในแวดวงราชการและนอกราชการ
ณ เวลานี้ จึงเปรียบเสมือนสงครามตัวแทน...ที่ “หยั่งเชิง” กันอยู่ว่า...คนที่ยังเป็น “พลังเงียบ” และไม่กล้าเสี่ยงนั้น ต้องพร้อมจะออกมาแสดงตัวกันได้แล้ว
อย่าลืมว่า...พลังเสื้อเหลืองของประชาชนเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ถือได้ว่า...เป็นภาพที่สะท้อนให้คนใน “ระบอบทักษิณ” ต้องกลับไปนึกทบทวนกันใหม่ว่า....ที่วางแผนกันมา 5-6 ปีนั้น... “ไร้ผล”
และคงยาก...ที่จะ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ตามเจตนารมณ์ที่ “ฝัน” กันไว้แน่...
เพราะสัญญาณเตือน...จาก “ฟ้า” ที่แม้แต่ “พระอาทิตย์ยังทรงกลด” ให้เห็น...เมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก
อย่างน้อยก็ทำให้ “ระบอบทักษิณ” ต้องกลับไปคิดทบทวน สรรหามาตรการต่างๆ ออกมาสู้เพื่อพิทักษ์บัลลังก์ทักษิณกันต่อไป
แต่เชื่อว่า... สุดท้าย...หลายคนอาจไม่มีแผ่นดินจะอยู่กันในบั้นปลายชีวิต... เหมือนกับที่ “ไก่ 3 ตัว” ถูกเชือดให้ “ลิงหน้าเหลี่ยม” ดูแล้ว
เฉพาะอย่างยิ่ง...คนในกองทัพ ก็เริ่มตระหนักกันแล้วว่า...ตัวเองนั้นเป็น “ทหาร” ของ “ในหลวง” ไม่ใช่ทหารของ “ใคร” คนใดคนหนึ่ง....
และทหารของในหลวง...มีหน้าที่ต้องรักษาราชบัลลังก์และประเทศชาติ... ไม่ใช่ให้ใครมาคิด “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ได้ง่ายๆ และอหังการ...อีกต่อไป
เพราะสัญญาณเตือนในการโยกย้ายระดับ “กองพัน” ที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ได้กวาดล้างคนในเครือข่ายระบอบทักษิณ ก็เป็นสิ่งตอกย้ำได้ดีว่า...
เราเตือนคุณแล้วนะ !!!